วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

การปลูกพริก


โดยทั่วไป การปลูกพริกของเกษตรกรจะมีการใช้สารเคมี แต่ก็มีบางพื้นที่ บางจังหวัดของประเทศไทยที่เกษตรกรได้หันมา ปลูกพริกโดยใช้สารชีวภาพ ซึ่งพริกที่ปลูก โดยใช้สารชีวภาพจะมีการเจริญเติบโต ให้ผลผลิตสูง ปลอดภัยต่อผู้ใช้ แถมยังปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วย
ก็จะมีคำถามเป็นจำนวนมากและบ่อย ครั้งเกี่ยวกับการทำเกษตรชีวภาพ จึงขอชี้แจงให้เกิดความเข้าใจให้ชัดเจนว่า เกษตร ชีวภาพ คืออะไรกันแน่ ในขณะที่ทั่วโลก กำลังตื่นตัวและพยายามเปลี่ยนยุค จากเกษตรเคมีไปเป็นเกษตรชีวภาพ
เกษตรชีวภาพ หมายถึง การทำเกษตร เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่ออนุชนรุ่นหลัง โดยการพัฒนาปลูก พืชหรือเลี้ยงสัตว์ เพื่อผลิตอาหารที่ปลอดภัย จากสารพิษและเกษตรอินทรีย์ โดยการ

ส่วนที่เหลือ หยุดใช้สารเคมีที่เป็นพิษทางการเกษตร เช่น ยาปราบศัตรูพืช ได้แก่ ยาฆ่าแมลง ยาป้องกันกำจัดโรคพืช ยาป้องกันกำจัดแมลง ฯลฯ
เมื่อสมาชิกทุกท่านเข้าใจเกี่ยวกับเกษตร ชีวภาพดีแล้ว วันนี้วิชาชีพปริทัศน์จึงขอนำ วิธี "การปลูกพริก" โดยใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มาแนะนำให้กับสมาชิกได้รู้และเข้าใจกัน เพื่อเป็นแนวทางในการปลูกพืชชนิดอื่นๆ ต่อไป
เริ่มจากการเตรียมดิน ระหว่างไถพรวน ดินให้รองพื้นด้วยปูนขาว อัตรา 75 ก.ก. ต่อไร่ และปุ๋ย ไบ.โอ.ฮิวมิค.พลัส. อัตรา 50 ก.ก. ต่อไร่ แล้วรดน้ำตาม หรือจะใช้ปุ๋ยดิน ทอง อัตรา 1 แกลลอน (5 ลิตร) ต่อ 1 ไร่ รองพื้น เพื่อปรับสภาพดินและป้องกันกำจัด เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคพืชที่มีอยู่ในดิน บ่ม ดินทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน จึงยกร่องกว้าง 1 เมตร สูง 20 ซม. แล้วจึงคลุมผ้ายาง ทำการ เจาะรูผ้ายางให้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ซม. ห่างกันประมาณ 50 ซม. เพื่อป้องกันกำจัด วัชพืชในแปลงพริก
การเพาะกล้า ทำการแช่เมล็ดพริกโดย ใช้สารชีวภาพที่เร่งรากและใบ อัตรา 3-5 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อเร่งการงอกรากของเมล็ด เมล็ดพริกที่ใช้ปลูกให้แช่ทิ้งไว้ 1 คืน หลังจาก นั้นนำเมล็ดพริกขึ้นจากน้ำ แล้วห่อด้วยผ้า ขาวบางชุบน้ำอีก 1 คืน จึงหว่านเมล็ดลงบน แปลงเพาะ เมื่อต้นกล้าแตกใบแรกหรือ ประมาณ 7 วันหลังหว่าน จึงย้ายมาเพาะต่อ ในถาดหลุมอีกประมาณ 25-30 วัน จึงย้าย กล้ามาปลูกลงแปลงที่เตรียมไว้
การย้ายกล้าลงแปลงปลูก ก่อนนำต้นกล้าลงแปลงปลูก ให้ใช้ปุ๋ย ไบ.โอ.ฮิวมัส.พลัส หรือปุ๋ยชีวภาพรองก้นหลุม อัตรา 1 ช้อนแกง ต่อหลุม คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน เพื่อป้องกัน โรครากเน่า โคนเน่าแล้วรดน้ำตามทันที หรืออาจใช้ปุ๋ยดินทอง (ปุ๋ยชีวภาพ) อัตรา 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตรราดดินหรือคลุกเคล้ากับดิน เพื่อใช้ในการรองพื้นก่อนการปลูกพืช
การบำรุงต้นและผล เพื่อกระตุ้นให้ต้น พริกเจริญเติบโตเร็ว ออกดอกสม่ำเสมอ ให้ผลดก ผลมีขนาดใหญ่ ไม่มีโรคแมลงมา รบกวน ให้ใช้ปุ๋ยทรีซิน อัตรา 50 ซีซี. + ทรี เท็คซีน อัตรา 30 กรัม (เพื่อป้องกันและกำจัด เชื้อรา) + ซิลเวอร์เอ๊กซ์ตร้า บี.96 อัตรา 30 ซีซี. (เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของต้นพริก) และในช่วงออกดอกให้ใช้ซิลเวอร์เอ็กซ์ตร้า สูตรเดตาดอกแทน + ทรีสตาร์ 5 ซีซี. + เซฟตี้ คิล 50 ซีซี. (เพื่อป้องกันและกำจัดแมลง) + สารจับใบ ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นต้นพริก ทุกๆ 7 วัน ถ้ามีโรคและแมลงมารบกวน ให้ ฉีดพ่นทุก 3-5 วัน และก่อนเก็บผลผลิต ประมาณ 1 สัปดาห์ให้ใช้วานาก้า 20 ซีซี. ฉีดรวมเข้าไปด้วย เพื่อทำให้พริกผลโต สี สวย ได้น้ำหนัก หรือเพื่อความสะดวกและ ประหยัดค่าใช้จ่าย อาจใช้ปุ๋ยชีวภาพปาณิ อัตรา 10 ซีซี.+ปุ๋ยปาณิแครป 10 ซีซี. + น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อกระตุ้นให้ต้นพริกเจริญ เติบโตออกดอกสม่ำเสมอ ให้ผลดก ผลมี ขนาดใหญ่ ไม่มีโรคแมลงรบกวน โดยฉีดพ่น ต้นพริก 7-10 วันต่อครั้ง แต่ถ้ามีโรคแมลงมารบกวน อาจฉีดพ่นทุก 3-5 วันและก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 1 สัปดาห์
การใช้ปุ๋ย หลังย้ายต้นกล้าแล้ว 5 วัน อาจมีการใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 ร่วมกับ 15-15-15 อย่างละ 1 กก. ผสมน้ำ 20 ลิตร หยอดบริเวณโคนต้น เพื่อเร่งการเจริญเติบโต หลังจากนั้น 7 วัน หยอดปุ๋ยซ้ำอีกครั้ง โดยเพิ่ม ปริมาณปุ๋ยอีกอย่างละ 1 กก. จนต้นพริกมี อายุ 30 วัน ให้ทำการฝังปุ๋ยสูตร 15-15-15 ร่วมกับ 13-21-0 อัตรา 1 ช้อนแกงต่อหลุม โดยฝังให้ห่างโคนต้น 1 ฝ่ามือ เพื่อเร่งการ ออกดอก พอต้นพริกอายุได้ 45-50 วัน ให้ทำ การฝังปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 1 ช้อนแกงต่อ หลุม เพื่อบำรุงเมล็ดพริก แต่ถ้าสมาชิกจะ หลีกเลี่ยงปุ๋ยสูตรดังกล่าว และหันมาใช้ปุ๋ย ชีวภาพที่มีขายในท้องตลาดเช่น ปุ๋ยปาณิ + ปุ๋ยปาณิแครป อัตรา อย่างละ 10 ซีซี. ฉีดพ่น ทุก 7-10 วันจนต้นพริกเก็บเกี่ยวผลผลิต
การให้น้ำ ช่วงย้ายกล้าให้น้ำทุก ๆ 3 วัน จนต้นพริกมาอายุได้ 15 วัน จึงเปลี่ยนเป็น การให้น้ำสัปดาห์ 1 ครั้ง
ปัญหาเรื่องโรคและแมลงจะมีการทำลายน้อยมาก ถ้ามีการใช้ปุ๋ยชีวภาพอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง ส่วนมากปัญหาที่พบคือ ยอดหงิก ซึ่งมีสาเหตุมาจากเพลี้ยไฟ ก็อาจ จะมีการป้องกันด้วยการถอนทำลายต้นทิ้ง หรืออาจมีการใช้สารเคมีบ้างในยามที่จำเป็น

Read More

อัตรายจากยาลดน้ำหนัก


ถ้าพูดคำว่า “ยาลดน้ำหนัก” เชื่อว่าทั้งคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก หรือคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก ต่างก็รู้จักคำๆนี้เป็นอย่างดี แต่จะมีซักกี่คนที่รู้จัก “อันตราย” ของมันจริงๆ บางคนอาจจะไม่รู้เลย บางคนอาจจะรู้มาบ้างแต่ไม่กล้าค้นรายละเอียดเพิ่มเติมเพราะกลัวความจริง บางคนรู้โดยไม่ต้องค้นหาข้อมูลเพราะเกิดขึ้นกับตนเอง แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งในสังคมที่ทราบอันตรายดี และตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักยังไงก็ได้แต่ขอไม่ใช้ยาลดน้ำหนัก แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่
ส่วนที่เหลือ ปัจจุบันความรู้เรื่องอันตรายของยาลดน้ำหนัก ค่อนข้างจะเป็นที่แพร่หลาย แต่กลับมีคนจำนวนมาก ที่ยังคงเลือกที่จะลดน้ำหนักด้วยการทานยาลดน้ำหนักโดยมีมูลค่ารวมกันนับพันล้านบาท อาจจะเป็นเพราะว่ามันง่าย ราคาไม่แพง หรือบางคนอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ต้องให้ยามาช่วยควบคุม แต่เชื่อเถอะว่า ไม่มีอะไรที่ง่าย ราคาถูก แล้วยังได้ผลดีโดยไม่มีผลข้างเคียงอะไร

ไม่ว่าจะเคยรู้จักหรือไม่ วันนี้เรามาทำความรู้จัก “ยาลดน้ำหนัก” กัน โดยจะไม่เน้นคำศัพท์วิชาการ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายขึ้น ทราบไหมว่า โดยทั่วไปแล้ว ยาลดน้ำหนัก ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราทานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งโรงพยาบาล คลินิก และสามารถเข้าถึงได้ทุกคนแบบที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาจะใช้เพื่อเป็นยารักษาในกรณีที่บางคนมีน้ำหนักตัวเยอะมากและเริ่มเป็นอันตรายต่อสุขภาพ “เท่านั้น” และการทานยานั้นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่าง “ใกล้ชิด ” เนื่องจากยาบางตัวที่ทานนั้น “มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ” แม้ในปัจจุบันและในอนาคตอาจจะมีการพัฒนายาลดน้ำหนักให้มีคุณสมบัติบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ก็คงจะไม่แตกต่างจากที่เคยเป็นมา อันตรายจากยาลดน้ำหนักจึงไม่มีทางลดน้อยลง เรามาทำความรู้จักยาลดน้ำหนักกลุ่มหลักๆกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. กลุ่มยาลดความหิว(ที่ต้องเรียกเป็นกลุ่มเพราะมีหลายตัว ตามแต่คุณหมอแต่ละคนจะสั่งให้เรา)
ยาบางตัวดัดแปลงมาจากยาบ้า ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อควบคุมความหิว เวลาที่เราทานเข้าไปแล้วเราจะไม่หิว เพราะระบบประสาทถูกกดเอาไว้ เราจึงทานน้อยลง (น้ำหนักตัวเราก็ต้องลดลงเพราะเราทานน้อยลง) ยากลุ่มนี้แหละที่เวลาทานแล้วจะเกิดผลข้างเคียงแบบที่เจอบ่อยๆ ก็คือ กระสับกระส่าย ปวดหัว หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ คลื่นไส้ เบลอๆ ซึมเศร้า ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เหงื่อออก ท้องผูก อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ระบบประสาทถูกกดเอาไว้นั่นเอง ดูอาการแต่ละอย่างเราจะเห็นเลยว่า มีผลต่อส่วนสำคัญของร่างกายทั้งนั้น สมอง หัวใจ ความดันโลหิต ระบบขับถ่าย น่ากลัวมากๆ
ที่สำคัญยาในกลุ่มนี้หลายๆตัวได้ห้ามการจำหน่ายแล้ว เนื่องจากจะทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว และยาส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ทานติดต่อกันเกิน 12 สัปดาห์ เพราะจะเป็นอันตรายได้ และแม้ว่าเราจะทราบว่ายาอะไรที่ห้ามจำหน่าย แต่ลองนึกดูว่า เวลาเราได้รับยาจากหมอ เราไม่มีทางทราบได้เลยว่ายานั้นคือยาอะไร หากหมอบอกว่าไม่ใช่ยาที่ห้ามจำหน่ายเราก็ต้องเชื่อตาม พอจะจินตนาการออกแล้วใช่ไหมว่าหากเราทานยาลดน้ำหนัก เราเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแค่ไหน แต่ยังไม่หมด เพราะยังมียาอีกหลายกลุ่ม

2. กลุ่มยาเร่งการเผาผลาญ
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทที่มีบทบาทในการควบคุมการใช้พลังงาน(การเผาผลาญ)ในร่างกายเรา เมื่อทานเข้าไปแล้วจะไปกระตุ้นให้ร่างกายเรามีการเผาผลาญมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายเรามีการเผาผาญไขมันมากขึ้นนั่นเอง ผลข้างเคียงจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนต่อหัวใจของเรา นั่นคือหัวใจเราจะเต้นผิดจังหวะ และน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ช็อกได้ และผลข้างเคียงระยะยาวคือ อาจจะทำให้มีไขมันลดลงแต่กล้ามเนื้อขนาดใหญ่ขึ้น(ซึ่งคนที่เป็นผู้หญิงคงไม่ต้องการแน่ๆ)

3. กลุ่มยาขับน้ำ(ขับปัสสาวะ)
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ตรงตัว คือช่วยให้ร่างกายขับน้ำออกจากร่างกายมากขึ้น ซึ่งปกติจะใช้บ่อยกับนักมวยที่ต้องการลดน้ำหนักเร่งด่วน ฉะนั้นพอเราทานน้ำหนักเราก็จะลดลงเร็วเนื่องจากเสียน้ำ แต่เมื่อเราทานน้ำมากขึ้นน้ำหนักก็จะกลับมาใหม่ ยาในกลุ่มนี้ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย จะมีแต่ผลเสีย ร่างกายจะสูญเสียน้ำ และสูญเสียเกลือแร่ไปด้วย จะทำให้มีอาการเพลีย และหากใช้นานอาจทำให้ไตพิการได้

4. ยากลุ่มที่ช่วยยับยั้งการดูดซึมไขมัน
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ที่ระบบทางเดินอาหาร ด้วยการยับยั้งเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะช่วยยับยั้งการดูดซึมไขมัน ยาในกลุ่มนี้ไม่มีผลต่อระบบประสาทจึงไม่มีอาการผลข้างเคียงออกมาให้เห็นมากนัก แต่อาจจะเห็นได้จากการที่อุจจาระออกมาจะเป็นเมือกมันๆ

5. กลุ่มยาลดผลข้างเคียง
ยาในกลุ่มนี้หมายถึง ยาที่พยายามลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับร่างกายเราให้น้อยลง ยกตัวอย่างเช่น หากท้องผูกก็เพิ่มยาระบาย หากน้ำตาลในเลือดสูงก็เพิ่มยาลดน้ำตาล หากมีซึมเศร้าก็เพิ่มยาลดอาหารซึมเศร้า ฟังแล้วดูน่าเศร้ามากกว่าดูดี เพราะเราต้องทานยาเพิ่ม เพราะผลข้างเคียงจากยาลดน้ำหนักที่เราทาน(แล้วเราจะทานมันไปทำไม)
ที่สำคัญคืออย่าคิดว่าผลข้างเคียงเหล่านี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนเราทานยา เพราะยาเหล่านี้มีโอกาสตกค้างในร่างกายได้ แม้ว่าเราหยุดทานแล้วผลข้างเคียงต่อระบบประสาท หัวใจ ตับ ไต ฯลฯ ยังคงอยู่ในร่างกายเรา เพียงแต่ว่าอาจจะยังไม่ถึงเวลาแสดงอาการออกมาเท่านั้นเอง แล้ววันหนึ่งเมื่อสิ่งที่ตกค้างในร่างกายแสดงออกมา เราก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคตับ มะเร็ง ฯลฯ ก็อาจจะเกิดเรื่องเศร้าขึ้นกับเราได้ เหมือนข่าวที่หลายคนเคยได้ยินมา เช่น(ขออนุญาต สงวนชื่อและนามสกุล)

- 16 ธันวาคม 2545 หญิงสาวอายุ 27 ปีเสียชีวิตที่จังหวัดอ่างทอง เพราะทานยาลดน้ำหนัก จาก 100 กว่ากิโล ลดเหลือ 60กิโล โดยทานติดต่อกันนาน สุดท้ายหลังจากหยุดทานมาปีกว่าก็เสียชีวิต(จาก ข่าวสด 17 ธ.ค. 2545)
- 12 ธันวาคม 2548 หนุ่มหัวหน้าสถานีอนามัย อายุ 30 ปี ต้องการลดเพียง 6-7 กิโล ทานยาลดความอ้วนพร้อมเครื่องดื่มบำรุงกำลัง หัวใจวายตายที่จังหวัดราชบุรี(คมชัดลึก 13 ธค 2548)
- ธันวาคม 2548 หญิงสาวอายุ 26ปี ทานยาลดความอ้วน ที่จ่ายโดยคลีนิคในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จนสูญเสียความทรงจำไปนานถึง 3 ปี(คมชัดลึก 18 ธค 2548)
- 26 มีนาคม 2550 นักเรียนหญิง ม.4 อายุ 16 ปี ชาวนครราชสีมา เสียชีวิตเพราะทานยาลดน้ำหนัก แล้วไตวายเฉียบพลัน(คมชัดลึก 30 มีค 2550)
- 20 สิงหาคม 2550 หญิงสาวอายุ 36 ปี ชาวกรุงเทพ ทานยาลดน้ำหนัก จนคลุ้มคลั่งขังลูกไว้ในรถ เพราะประสาทหลอนว่าจะมีคนมาทำร้าย(คมชัดลึก 21 สค 2550)



Read More

แกงไตปลา


เครื่องปรุง
1.กะปิ
2.ปลาย่าง
3.พุงปลาที่หมักได้ที่แล้ว
4.น้ำ เกลือ น้ำตาล ใบมะกรูด มะนาว
5.ผักสด เช่น มัน ฟักทอง มะเขือเทศต่างๆ หน่อไม้
6.เครื่องแกงมีพริกแห้ง หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า พริกไทย ขมิ้น นำมาโขลกให้ละเอียด
วิธีทำ
1.นำพุงปลามาทำให้สะอาดโดยเอาขี้ปลาออกให้หมด

ส่วนที่เหลือ
2.นำพุงปลาที่สะอาดแล้วมาซาวด้วยเกลือพอประมาณ
3.นำพุงปลาซาวเกลือใส่ขวดแก้วหรือใส่กระปุก ปิดฝาให้มิดชิดทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์
4.เปิดออกดูจะได้กลิ่นหอมเปรี้ยว นำไปแกงได้ชนิดของพุงปลา
* พุงปลาช่อนนำมาทำเป็นไตปลา ให้รสชาติหอมมันอร่อยมากที่สุด พุงปลากระดี่ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า ขี้ดี ให้รสชาติขมหอมอร่อยมาก พุงปลาโดยทั่วไปจะทำจากปลาทูหรือปลารัง *

วิธีปรุง
1.นำพุงปลาตั้งไฟให้เดือด เทกรองเอาเฉพาะน้ำ เติมน้ำตามสมควรตั้งไฟให้เดือด
2.ใส่เครื่องแกง เดือดได้ที่เติมเครื่องปรุง น้ำตาล น้ำมะนาว กะปิ
3.ใส่ปลาย่าง ผักสด

Read More

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ฤดูกาล


เราสามารถคาดหมายสภาพลม ฟ้า อากาศ ในช่วง เวลาใดเวลาหนึ่งของปีได้ว่าจะเป็นอย่างไร เช่น อากาศในฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็นและมีลมแรง ส่วนอากาศในฤดูร้อน จะร้อนและมีแดดจัด เป็นต้น ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ในที่บางแห่งมี ฤดูกาลเพียง 2 ฤดูเท่านั้น คือ ฤดูฝน กับฤดูแล้ง แต่ในที่บางแห่งเช่น ในเขตอบอุ่นอาจมีถึง 4 ฤดู อันได้แก่
ส่วนที่เหลือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว
ฤดูใบไม้ผลิ ทันทีที่ฤดูหนาวสิ้นสุดลง ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนสูงขึ้นไปกลางท้องฟ้าและช่วงกลางวันจะยาวขึ้น อากาศอาจหนาวเย็นในตอนกลางคืน แต่อบอุ่นขึ้นในเวลากลางวัน
ฤดูร้อน ดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันในฤดูนี้ จะอยู่สูงสุดบนท้องฟ้า ช่วงกลางวันจะยาวและมี อากาศร้อน อาจมีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นครั้งคราว ช่วยทำให้คลายร้อนได้
ฤดูใบไม้ร่วง ในฤดูใบไม้ร่วง ช่วงกลางคืนเริ่มยาวขึ้นและอากาศเย็นลงอีกครั้งหนึ่ง ตอนเช้ามักมีหมอกบางๆ และบางครั้งเกิดเป็นน้ำค้างแข็งจับอยู่ตามต้นไม้ใบหญ้า
ฤดูหนาวฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวที่สุดในรอบปี ช่วงกลางวันจะสั้นมาก และดวงอาทิตย์อยู่ต่ำมากจนอากาศแทบไม่อุ่นขึ้นเลยในเวลากลางวัน

Read More

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ประเทศจีน


Zhonghua Renmin Gongheguo คือ ชื่อเป็นทางการของสาธารณรัฐประชาชนจีน คนทั่วไปมักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า "จงกั๋ว" ซึ่งแปลว่า "อาณาจักรกลาง"

ที่ตั้ง จีนตั้งอยู่บนทวีปเอเชียตะวันออก มีพรมแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ โดยรอบ 15 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือ รัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน เคอร์กิชสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย เนปาล สิกขิม ภูฐาน พม่า ลาว และเวียดนาม ขณะที่ทิศตะวันออกและทิศใต้จดทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้

พื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองจากประเทศ รัสเซีย และแคนาดา พรมแดนทางบกของจีนมีความยาว 28,000 กิโลเมตร และมีชายฝั่งทะเลยาว 18,000 กิโลเมตร เกาะที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาเกาะน้อยใหญ่ทั้งหมด 6,536 เกาะ คือเกาะไต้หวันและไห่หนาน เมืองหลวงคือ ปักกิ่ง

เมืองหลวง กรุงปักกิ่งหรือเป่ยจิง (ภาษาราชการจีนเรียกว่า “เป่ยจิง” - Beijing ) มีประชากร ประมาณ 30 ล้านคน

ประชากร ประมาณ 1,300 ล้านคน มีประชากรมาก เป็นอันดับหนึ่งของโลก 93% เป็นชาวฮั่น ส่วนที่เหลือ 7% เป็นชนกลุ่มน้อย ได้แก่ ชนเผ่าจ้วง หุย อุยกูร์ หยี ทิเบต แม้ว แมนจู มองโกล ไตหรือไท เกาซัน รัฐบาลจีนมีนโยบายเพื่อควบคุมจำนวนประชากรชาวฮั่น ซึ่งครอบครัวหนึ่ง ควรมีบุตรเพียงหนึ่งคนเท่านั้น นโยบายนี้ไม่ได้บังคับใช้ในชนกลุ่มน้อย

วัฒนธรรมจีน การเรียกชื่อสกุลของชาวจีนตรงกันข้ามกับภาษาไทย คือเรียกต้นด้วยชื่อสกุล ชื่อตัวใช้เรียกกันในหมู่ญาติ และเพื่อนสนิท

โดยปกติชาวจีนมักไม่ทักทาย ด้วยการจับมือหรือจูบเพื่อร่ำลา

สิ่ง สำคัญอีกอย่างคือ ชาวจีนมีเครือข่ายคนรู้จัก ( เหมือนกับการมีเส้นสายในไทย ) กล่าวกันว่าชาวจีนที่ไร้เครือข่ายคนรู้จัก เป็นผู้ที่เป็นจีนเพียงครึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องทำความรู้จักกับผู้คนชาวต่างชาติ ซึ่งทำธุรกิจในประเทศจีน ดังนั้นควรให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมนี้ด้วยการเชื้อเชิญ

ภาษา แมนดารินเป็นภาษาราชการ และมีภาษาท้องถิ่นอีกจำนวนมาก เช่น ภาษากวางตุ้ง แต้จิ๋ว เซี่ยงไฮ้ แคะ ฮกเกี้ยน เสฉวน หูหนาน ไหหลำ เป็นต้น ส่วนใหญ่ใช้อักษรจีนแบบย่อ (Simplified Chinese) มีอักษรทั้งหมด 56,000 ตัว ใช้ประจำ 6,763 ตัว ถ้ารู้เพียง 3,000 ตัว ก็อ่านหนังสือพิมพ์และทั่วไปได้

Read More

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง




..การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง ด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...

Read More

บทความการศึกษา



การศึกษา คือการสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมที่จะ ประกอบการงานอาชีพได้
การศึกษาช่วยให้คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจำเป็น ด้านที่อยู่อาศัย อาหารเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่
5 ของชีวิต เป็นปัจจัยที่จะช่วยแก้ปัญหาทุก ๆ ด้านของชีวิตและเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตในโลกที่มีกระแสความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเท คโนโลยีอย่าง รวดเร็ว และส่งผลกระทบให้วิถีดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันการศึกษายิ่งมีบทบาทและความจำเป็น มากขึ้นด้วย การศึกษาที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีความสุข จะต้องมีลักษณะ ที่สำคัญดังนี้
1.
เป็นการศึกษาที่ให้ความรู้ และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เช่น ความรู้และทักษะทางด้านภาษา การคิดคำนวณ ความเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น สภาพปัจจุบันมีความจำเป็นต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการศึกษาขั้น พื้นฐานอย่างน้อย 12 ปี จึงจะเพียงพอกับความต้องการและความจำเป็นที่จะยกระดับ คุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
2.
การศึกษาทำให้คนเป็นคนฉลาด เป็นคนมีเหตุผล คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น และ รู้จักวิธีแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และเพื่อการงานอาชีพ

3. การศึกษาต้องสร้างนิสัยที่ดีงาม ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยเฉพาะนิสัยรักการ เรียนรู้ และนิสัยอื่น ๆ เช่นความเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน อดทน รับผิดชอบ เป็นต้น
4. การศึกษาต้องสร้างความงอกงามทางร่างกาย มีสุขภาพพลามัยที่ดี รู้จัก รักษาตนให้แข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และสารพิษ
5. การศึกษาต้องทำให้ผู้เรียนไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนรวมให้ความร่วมมือกับผู้อื่นในสังคม อยู่รวมกับผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้างสังคมที่สงบเป็นสุข รักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน
6.
การศึกษาต้องทำให้คนมีทักษะการงานอาชีพที่เพียงพอกับการเข้าสู่การงานอาชีพ รู้จักการประกอบอาชีพและรู้จักพัฒนาการงานอาชีพ

Read More